การตลาดดิจิทัล ออนไลน์สำหรับโรงแรมและวิลล่าหรู: จากการพึ่งพา OTA สู่การเติบโตของการจองตรง
- Phattarapol Phattarakompongsakorn
- 23 ก.ย.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 29 ก.ย.

หลายปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์ม OTA (จองที่พักออนไลน์ผ่านเว็ป หรือแอป) ครองพื้นที่สำคัญในอุตสาหกรรมโรงแรมและวิลล่าหรู แม้จะช่วยขยายการเข้าถึงทั่วโลก แต่ต้นทุนแฝงกลับสูงเกินควร โรงแรมจำนวนมากต้องแบกรับค่าคอมมิชชัน 15–25% และบางครั้งอาจสูงถึง 50% หากรวมค่าโปรโมชั่น นอกจากนี้ยังถูกบังคับให้เข้าร่วมแคมเปญลดราคาที่ทำให้กำไรลดลง และที่สำคัญที่สุดคือการสูญเสียโอกาสสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับแขก เมื่อไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือความคิดเห็นของแขก โรงแรมย่อมไม่สามารถปรับปรุงบริการหรือพัฒนาโปรแกรมความภักดีได้ สำหรับธุรกิจที่ไม่ได้ขายเพียง “ห้องพัก” แต่ขาย “ประสบการณ์” โมเดลแบบนี้ไม่สามารถยั่งยืนได้
ทางออกคือ กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่เน้นการจองตรง ซึ่งช่วยให้โรงแรมและวิลล่าหรูสามารถควบคุมแบรนด์ รักษากำไร และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับแขกได้อย่างแท้จริง
ความสำคัญของ KPI: ROAS และ ROI
ในธุรกิจหรู ทุกการลงทุนต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ชัดเจน สองตัวชี้วัดหลักคือ ROAS (Return on Ad Spend) และ ROI (Return on Investment)
ROAS แสดงให้เห็นว่าเงินโฆษณา 1 บาท สร้างรายได้กลับมาเท่าใด
ROI แสดงให้เห็นว่าการลงทุนทางการตลาดโดยรวมคุ้มค่าและยั่งยืนหรือไม่
ตัวอย่างเช่น หากวิลล่าใช้เงิน 10,000 บาทเพื่อทำโฆษณา และสร้างรายได้จากการจองตรง 40,000 บาท นั่นหมายถึง ROAS 400% และหาก ROI โดยรวมจากทุกช่องทาง เช่น SEO, AEO, EDM และโฆษณาออนไลน SEM ยังเป็นบวก แสดงว่ากลยุทธ์นั้นสร้างการเติบโตอย่างแท้จริง
กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนการเติบโต
เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้การเติบโตนี้เกิดขึ้นได้จริง การโฆษณาด้วย AI ช่วยปรับงบและกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบเรียลไทม์ ทำให้ CTR ทำได้ในระดับ 3–5% และ ROAS 500–1,000% อย่างต่อเนื่อง ตามลักษณะของที่พัก ว่าเป็นโรงแรม หรือวิลล่า
ขณะเดียวกัน ระบบ Automation ด้านข้อมูล ก็เปลี่ยนข้อมูลแขกให้กลายเป็นพลังในการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการทำ Remarketing การสร้าง Lookalike Audience หรือการคาดการณ์ความต้องการตามฤดูกาล รวมถึงการค้นหากลุ่มแขกใหม่ที่มีศักยภาพสูงด้วย AI
อีกหนึ่งเครื่องมือที่ได้ผลคือ EDM (Email Marketing) ซึ่งมีอัตราการแปลงสูงกว่าสื่อโซเชียล การทำแคมเปญอีเมลที่เสนอสิทธิพิเศษ เช่น Long Stay, Seasonal Deal หรือ VIP Exclusive สามารถสร้างรายได้สูงถึง 10% ของรายได้รวมสำหรับโรงแรมหรู หากบริหารอย่างมีระบบ
สุดท้าย AEO, SEO และ Content Marketing เป็นการลงทุนระยะยาว บทความอย่าง “5 เหตุผลที่ควรจองตรงกับเรา” หรือ “อัปเกรดห้องฟรีเมื่อจองตรงช่วง Low Season” สามารถสร้างทราฟฟิกจากการค้นหา สร้างความน่าเชื่อถือ และมอบประสบการณ์เชิงแบรนด์ตั้งแต่ก่อนเข้าพัก
ตัวอย่างความสำเร็จทำกับ PlaceSpace
โรงแรมหรูแห่งหนึ่งในภูเก็ตที่ร่วมงานกับ PlaceSpace ลดการพึ่งพา OTA จาก 80% เหลือ 60% ภายในหนึ่งปี ยอดจองตรงเพิ่มขึ้น 60% และ ROAS สูงถึง 200% ขณะที่วิลล่าหรูในสมุย ใช้โฆษณา Instagram ทำ CTR ได้เฉลี่ย 4.2% ROAS สูงถึง 1,400% ยอดจองตรงเพิ่มขึ้น 45% และแขกซ้ำเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบปีต่อปี
ทำไมต้อง PlaceSpace?
PlaceSpace ไม่ใช่เพียงการตลาดออนไลน์สำหรับที่พัก แต่คือ พันธมิตรการเติบโต การตลาดดิจิทัล ออนไลน์สำหรับโรงแรมและวิลล่าหรู: จากการพึ่งพา OTA สู่การเติบโตของการจองตรง(Performance Growth Partner) ด้านการตลาดดิจิตัลที่ผสมผสาน AI Ads, Automation, Data Driven ด้วยแคมเปญหลายภาษา และ SEO & AEO เพื่อทำให้ทุกบาทที่ลงทุน กลับมาเป็นผลลัพธ์ที่วัดได้
ความคิดเห็น